ปัญหาและความท้าทายของ SME ไทยในการจัดการน้ำเสีย

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยทำให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในอุตสาหกรรมการผลิต, แปรรูปอาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การขยายกำลังการผลิตก็มาพร้อมกับปัญหาสำคัญ นั่นคือ วิธีการจัดการน้ำเสียจากกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลไทยได้เข้มงวดขึ้นกับมาตรฐานการปล่อยน้ำเสีย หากธุรกิจไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ อาจต้องเผชิญกับค่าปรับ การสั่งปิด หรือแม้แต่การดำเนินคดี ดังนั้น SMEs ต้องหาทางบริหารต้นทุนให้สมดุลกับการปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม

1. กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น

กฎหมายสิ่งแวดล้อมกำหนดให้ธุรกิจต้องปล่อยน้ำเสียตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น ค่าความต้องการออกซิเจนทางเคมี (COD), ค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวภาพ (BOD), และของแขวนลอยทั้งหมด (TSS) อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ SME หลายแห่งขาดเงินทุนหรือความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในการจัดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนด และเผชิญกับแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล

2. ค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียสูง

การสร้างระบบบำบัดน้ำเสียต้องใช้เงินลงทุนสูง และยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ SMEs ที่มีงบประมาณจำกัด เทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียแบบดั้งเดิมอาจเป็นภาระทางการเงินที่หนัก และทำให้การดำเนินงานในระยะยาวเป็นไปได้ยาก

3. ความยากลำบากในการเลือกเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสีย

เทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียมีหลายประเภท เช่น การบำบัดทางชีวภาพ (เช่น ระบบ MBR), การบำบัดทางกายภาพ (เช่น ระบบ DAF), และการบำบัดทางเคมี (เช่น ระบบควบคุม pH) น้ำเสียของแต่ละอุตสาหกรรมมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันด้วย สำหรับ SMEs ที่ขาดความรู้ทางเทคนิค การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงเป็นความท้าทาย

4. ขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการน้ำเสีย

แม้ว่า SMEs จะลงทุนในอุปกรณ์บำบัดน้ำเสีย แต่หากไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมและบำรุงรักษา อุปกรณ์อาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือเกิดความเสียหายจนไม่สามารถควบคุมคุณภาพน้ำเสียได้ SMEs หลายแห่งไม่มีทรัพยากรในการจ้างวิศวกรสิ่งแวดล้อม ทำให้การบริหารจัดการน้ำเสียเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

แนวทางแก้ไขและกลยุทธ์ที่เป็นไปได้

1. นำเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียที่เหมาะสมมาใช้

ระบบบำบัดน้ำเสียแบบโมดูลาร์เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากใช้พื้นที่น้อย และสามารถขยายขนาดได้ตามความต้องการ ลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น เช่น ระบบ MBR เหมาะกับน้ำเสียที่มีสารอินทรีย์สูง ขณะที่ระบบ DAF เหมาะสำหรับน้ำเสียที่มีน้ำมันและของแขวนลอย

2. ใช้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบรวมศูนย์

ภาครัฐและนิคมอุตสาหกรรมสามารถส่งเสริมให้ธุรกิจร่วมลงทุนในศูนย์บำบัดน้ำเสียกลาง ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนและบำรุงรักษาสำหรับแต่ละบริษัท

3. ใช้ระบบตรวจสอบอัจฉริยะและควบคุมอัตโนมัติ

เซ็นเซอร์อัจฉริยะ เช่น ตัวควบคุม pH/ORP สามารถตรวจสอบค่าคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ และปรับกระบวนการบำบัดอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพระบบ

4. ขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐและสถาบันการเงิน

รัฐบาลไทยสามารถให้เงินอุดหนุนหรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ SMEs เพื่อช่วยให้พวกเขาลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสีย หรือให้บริษัทเช่าระบบบำบัดเพื่อช่วยลดภาระต้นทุนเริ่มต้น

#เครื่องรีดตะกอน, เครื่องกรองแผ่นกรอบ, เครื่องบำบัดน้ำเสีย, ปั๊มลม, หัวเติมอากาศ, ปั๊มน้ำเสีย, ระบบ RO, ระบบน้ำบริสุทธิ์ EDI, ถังประกอบเคลือบอีนาเมล

บริษัท แกรนด์ เอ็นโปร เทรด จำกัด (GET)

ที่อยู่:121/1-2 หมู่ 4 ถ.เลียบคลองแคราย ต.แคราย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร 74110
โทร:(034)876124-7
แฟกซ์:(034)876128
มือถือ:(081) 6144571
อีเมล์:grandenpro124@gmail.com、toneychang9494@gmail.com

เวลาทำการ (8:00~17:00)

ขอบคุณสำหรับความสนใจและการสนับสนุนของท่าน
สำหรับคำถามหรือคำขอร่วมมือใดๆ โปรดติดต่อเราโดยใช้วิธีการต่อไปนี้ พวกเรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของท่านอย่างรวดเร็วและมืออาชีพ

© 2025. All Rights Reserved.

Search